.png)
"ทองคำ" และ "เงิน" ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุดิบหลักในการรังสรรค์ผลงานอันวิจิตรตระการตาเท่านั้น แต่ยังเป็นสินทรัพย์สำคัญในโลกการลงทุน โดยเฉพาะในฐานะ "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2568 หนึ่งในคำถามสำคัญที่ทั้งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและนักลงทุนรายย่อยต่างจับตามองคือ ทิศทางของโลหะมีค่าทั้งสองชนิดนี้จะเป็นอย่างไร?
แนวโน้มการลงทุนทองคำแท่ง (Gold Bars) ปี 2568
ทองคำยังคงสถานะ "ราชาแห่งสินทรัพย์ปลอดภัย" อย่างมั่นคง ปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนราคาทองคำแท่งในปี 2568 มีดังนี้:
- ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rates): นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด ตลาดการเงินโลกคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางหลักอื่นๆ จะเริ่มเข้าสู่วัฏจักร "การปรับลดอัตราดอกเบี้ย" ภายในปี 2568 หลังจากการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
- ผลกระทบ: การลดดอกเบี้ยทำให้ "ต้นทุนค่าเสียโอกาส" ในการถือครองทองคำ (ซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย) ลดลง นอกจากนี้ยังมักส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลบวกโดยตรงต่อราคาทองคำในสกุลเงินอื่นๆ
- ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Instability): ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในหลายภูมิภาคของโลก รวมถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์หลบภัยยังคงแข็งแกร่ง
- การซื้อสุทธิของธนาคารกลางทั่วโลก (Central Bank Buying): แนวโน้มที่ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ทยอยลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ และเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ ยังคงเป็นแรงซื้อขนาดใหญ่ที่ช่วยพยุงราคาในระยะยาว
แนวโน้มการลงทุนเงินแท่ง (Silver Bars) ปี 2568
เงินแท่งมักถูกมองว่าเป็น "น้องเล็ก" ของทองคำ แต่ในปี 2568 เงินมีปัจจัยขับเคลื่อนเฉพาะตัวที่โดดเด่นและน่าสนใจอย่างยิ่ง:
- อุปสงค์ภาคอุตสาหกรรม (Industrial Demand): นี่คือจุดเด่นที่สุดของเงิน เงินเป็นโลหะสำคัญใน "การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด" (Green Transition) ซึ่งความต้องการในส่วนนี้กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด
- แผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panels): ความต้องการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้เงินเพิ่มขึ้นมหาศาล
- ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) และ 5G: เงินเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด และถูกใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงจำนวนมาก
- ความสัมพันธ์กับราคาทองคำ (Gold-Silver Ratio): โดยปกติ ราคาเงินมักจะเคลื่อนไหวตามทองคำแต่มีความผันผวนสูงกว่า หากราคาทองคำเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นตามที่คาดการณ์ ราคาเงินก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นแรงกว่าในเชิงเปอร์เซ็นต์ (Leveraged Play)
- ภาวะอุปทานที่ตึงตัว (Supply Constraints): ผู้เชี่ยวชาญในตลาดต่างประเทศ (เช่น The Silver Institute) คาดการณ์ว่าความต้องการใช้เงินในภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อาจนำไปสู่ภาวะ "ขาดดุลอุปทาน" (Supply Deficit) ในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคา
ความเสี่ยงและความท้าทายที่ต้องจับตามอง
การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ แม้ในสินทรัพย์ปลอดภัย ข้อควรระวังสำหรับปี 2568 ได้แก่:
- นโยบายการเงินที่ผิดคาด (Hawkish Surprise): หากอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกไม่ลดลงตามคาด และธนาคารกลางต่างๆ (โดยเฉพาะ Fed) จำเป็นต้อง "คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานกว่าที่คาด" (Higher for Longer) นี่จะเป็นปัจจัยลบที่รุนแรงที่สุดสำหรับทั้งทองคำและเงิน
- การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาด (Strong Economic Growth): หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยไม่เกิดภาวะถดถอย อาจทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย (ทอง/เงิน) เพื่อย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
- ความผันผวนสูงของเงิน (Silver's Volatility): สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในเงินแท่ง ต้องตระหนักว่าเงินมีความผันผวนของราคาสูงกว่าทองคำมาก นักลงทุนต้องสามารถรับความเสี่ยงจากการแกว่งตัวของราคาที่รุนแรงได้
เจาะลึกสำหรับนักลงทุนรายย่อย (Insights for Retail Investors)
จากการรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนโลหะมีค่าในต่างประเทศ (เช่น Kitco, Money Metals Exchange, Forbes) สมาคมฯ ขอสรุปประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุนรายย่อย ดังนี้:
1. "เงินแท่ง" มีความผันผวนต่อกรัม มากน้อยแค่ไหน?
คำตอบคือ: "สูงมาก" (Very High)
ความผันผวนของราคาเงินแท่ง ไม่ว่าจะวัดเป็น "กรัม" หรือ "ออนซ์" (หน่วยมาตรฐานสากลคือทรอยออนซ์ หรือประมาณ 31.1 กรัม) ถือว่าสูงกว่าทองคำอย่างมีนัยสำคัญ
- เหตุผลหลัก:
- ตลาดที่เล็กกว่า (Smaller Market): ตลาดเงินมีขนาดเล็กกว่าตลาดทองคำมาก ทำให้การซื้อขายในปริมาณมากสามารถส่งผลกระทบต่อราคาได้รุนแรงกว่า
- อุปสงค์สองด้าน (Dual Nature): ราคาเงินถูกขับเคลื่อนจาก 2 ส่วน คือ (1) การลงทุน และ (2) อุตสาหกรรม หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความต้องการภาคอุตสาหกรรมลดลง ก็สามารถฉุดราคาเงินให้ตกลงได้ แม้ว่าความต้องการลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจะสูงขึ้นก็ตาม ทำให้ราคาเงินแกว่งตัวรุนแรงกว่าทองคำ
2. แหล่งซื้อทองคำและเงินแท่ง "จำนวนน้อย" ในไทย
- ทองคำแท่ง (Gold Bars):
- หาซื้อง่าย: ประเทศไทยมีระบบการค้าทองคำที่แข็งแกร่งมาก
- แหล่งซื้อ: ร้านทองชั้นนำที่เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำ (GTA) หรือสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ (TGJTA) โดยเฉพาะในย่านเยาวราช หรือร้านที่มีสาขาทั่วประเทศ
- ขนาดเล็ก: ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทองคำแท่งขนาดเล็กสำหรับนักลงทุนรายย่อย เช่น ทองคำแท่ง 1 กรัม, 5 กรัม, 1 สลึง, 2 สลึง, 1 บาท (15.244 กรัม)
- ทางเลือก: บริการ "ออมทอง" กับบริษัทชั้นนำ ซึ่งเป็นการทยอยสะสมเงินเพื่อซื้อทอง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
- เงินแท่ง (Silver Bars):
- หาซื้อยากกว่าทองคำ: ตลาดเงินแท่งสำหรับนักลงทุนรายย่อยในไทยยังไม่แพร่หลายเท่าทองคำ
- แหล่งซื้อ:
- ผู้ค้าโลหะมีค่าโดยเฉพาะ: บริษัทที่เน้นการซื้อขายโลหะมีค่าสำหรับอุตสาหกรรมและการลงทุน (เช่น Ausiris, MTS Gold Silver) มักจะมีเงินแท่งมาตรฐานสากลจำหน่าย (มักซื้อขายเป็นหน่วย ออนซ์ (oz) หรือ กิโลกรัม (kg))
- ขนาดเล็ก: ขนาดเล็กที่สุดที่หาซื้อง่ายในตลาดสากลคือ เหรียญเงิน 1 ออนซ์ หรือ เงินแท่ง 10 ออนซ์
- ข้อควรระวัง: สมาคมฯ ขอเตือนให้ระมัดระวังการซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือจากผู้ขายที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงเรื่องความน่าเชื่อถือและการปลอมแปลงสูง
The Bottom Line: 4 สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องรู้ ก่อนซื้อขาย "ทองคำแท่ง" และ "เงินแท่ง"
การลงทุนในโลหะมีค่ากายภาพ (Physical Bullion) มีรายละเอียดที่แตกต่างจากการลงทุนผ่านระบบดิจิทัล สมาคมฯ ขอย้ำ 4 ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ซึ่งนักลงทุนต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้:
1. มาตรฐานความบริสุทธิ์ (Purity Standards)
คุณกำลังซื้อ "น้ำหนักของโลหะบริสุทธิ์" ไม่ใช่แค่ก้อนโลหะ
- ทองคำแท่ง:
- ความบริสุทธิ์ 96.5%: (หรือ 23.16K) นี่คือมาตรฐานหลักของประเทศไทย นิยมซื้อขายในหน่วย "บาท" (15.244 กรัม) มีสภาพคล่องสูงที่สุดในประเทศ ซื้อง่ายขายคล่อง
- ความบริสุทธิ์ 99.99%: (หรือ 24K) นี่คือมาตรฐานสากล (LBMA Standard) ที่ใช้ซื้อขายในตลาดโลก อ้างอิงราคา Spot Price สากลโดยตรง
- เงินแท่ง:
- ความบริสุทธิ์ 99.9% (หรือ 999 Fine): นี่คือมาตรฐานสากลสำหรับเงินแท่งเพื่อการลงทุน (Investment Grade)
2. กลไกราคา: "Spot Price", "Premium" และ "Spread"
ราคาที่คุณเห็นบนหน้าจอ (Spot Price) ไม่ใช่ราคาที่คุณจ่ายจริง
- Spot Price (ราคาสปอต): คือราคากลางของตลาดโลกที่ซื้อขายกันในขณะนั้น
- Premium (ค่าพรีเมียม หรือ ค่าบล็อก/ค่ากำเหน็จ): คือต้นทุนส่วนเพิ่มที่บวกจาก Spot Price ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการผลิต, การขนส่ง, การจัดการ และกำไรของผู้ค้า
- ข้อสำคัญ: ยิ่งซื้อขนาดเล็ก (เช่น ทอง 1 กรัม) "ค่า Premium" เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ จะยิ่งสูงกว่าการซื้อขนาดใหญ่ (เช่น ทอง 1 กิโลกรัม)
- Spread (ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย): คือช่องว่างระหว่าง "ราคาที่ร้านรับซื้อคืน" กับ "ราคาที่ร้านขายให้คุณ" นี่คือต้นทุนแฝงที่สำคัญที่สุด
- ทองคำ: มี Spread ที่ แคบกว่า (โดยเฉพาะทอง 96.5% ในไทย)
- เงินแท่ง: มี Spread ที่ กว้างกว่าทองคำมาก โดยธรรมชาติ
3. ข้อแตกต่างทางภาษี (The VAT Distinction) - สำคัญที่สุด!
นี่คือปัจจัยที่นักลงทุนรายย่อยในไทย "ต้อง" ทราบ และเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างการลงทุนในทองคำและเงินแท่งในประเทศ:
- ทองคำแท่ง: การซื้อขายทองคำแท่ง (ที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% ขึ้นไป) ในประเทศไทย "ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 0%)"
- เงินแท่ง: ในทางกลับกัน เงินแท่งในประเทศไทย ถูกจัดเป็น "สินค้าอุตสาหกรรม" หรือ "สินค้าทั่วไป" "จึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%)" ทุกครั้งที่มีการซื้อ
ผลกระทบ: หมายความว่า ทันทีที่คุณซื้อเงินแท่ง ราคา 100 บาท คุณต้องจ่ายจริง 107 บาท ราคาเงินในตลาดโลกจะต้องปรับตัวสูงขึ้น "มากกว่า 7%" คุณจึงจะเริ่มเท่าทุน นี่คือต้นทุนมหาศาลที่ทำให้การลงทุนใน "เงินแท่งกายภาพ" ในไทยมีความท้าทายสูงกว่าทองคำอย่างมาก
4. สภาพคล่องและแหล่งซื้อขาย (Liquidity & Reputable Dealer)
"การขายคืน" สำคัญพอๆ กับ "การซื้อ"
- สภาพคล่อง: ทองคำแท่ง (โดยเฉพาะ 96.5%) มีสภาพคล่องสูงที่สุดในไทย สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้แทบทุกร้านทองที่ได้มาตรฐาน ส่วนเงินแท่งมีสภาพคล่องต่ำกว่ามาก ผู้รับซื้อคืนมีจำกัด และมักถูกกดราคารับซื้อ (Spread กว้าง)
- แหล่งซื้อขาย: นี่คือหัวใจสำคัญของการลงทุนกายภาพ
- ต้องซื้อจากผู้ค้าที่น่าเชื่อถือเท่านั้น เช่น สมาชิกของ